โฆษกปีกการทหารของกลุ่มจีฮัดอิสลามปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา ได้ออกมาประกาศผ่านคลิปวิดีโอที่ปรากฏภาพตัวประกัน 2 คน ซึ่งเป็นหญิงชราและเด็กชายชาวอิสราเอล พร้อมกับระบุว่า ทางกลุ่มกำลังเตรียมปล่อยตัวทั้งสองคน
โฆษกปีกทหารทหารรายนี้ระบุเหตุผลในการปล่อยตัวว่า เป็นการปล่อยตัวเพราะเหตุผลทางการแพทย์และเหตุผลด้านมนุษยธรรม เนื่องจากกลุ่มจีฮัดขาดแคลนยาหรือสิ่งของจำเป็นในการดูแลตัวประกันดังกล่าว
อิสราเอลคาดตัวประกันถูกจับไว้ใต้ดิน ด้านฮามาสโชว์คลิปปล่อยตัวประกัน
เปิดรายชื่อ คนในอิสราเอลที่ถูกกลุ่มอามาสจับไปเป็นตัวประกัน มีใครบ้าง?
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางการประกาศปล่อยตัวประกัน โฆษกกลุ่มจีฮัดตั้งเงื่อนไขสำคัญว่าจะต้องได้รับหลักประกันบางอย่าง แต่ก็ไม่มีการระบุว่า หลักประกันดังกล่าวนั้นคืออะไร
หลังจากการประกาศไม่นาน อิสราเอลได้ออกมาแสดงท่าทีหลังจากกลุ่มจีฮัดปาเลสไตน์ออกมาเปิดเผยเรื่องตัวประกันเช่นกัน
แดเนียล ฮาการี โฆษกกองกำลังป้องกันตนเองอิสราเอล ระบุว่า เรื่องดังกล่าวเป็นสัญญาณที่ดีว่าตัวประกันยังมีชีวิตอยู่ แต่การกระทำเช่นนี้คือ การทำสงครามจิตวิทยารูปแบบหนึ่ง
ความเคลื่อนไหวของกลุ่ม จีฮัดอิสลามปาเลสไตน์ เกิดขึ้นหลังจากมีรายงานข่าวว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ อียิปต์ และสหรัฐฯ กำลังพยายามเจรจาให้อิสราเอลและกลุ่มฮามาสหยุดโจมตีเพื่อมนุษยธรรม
ตามรายงานดังกล่าว ข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวเพื่อมนุษยธรรม จะเกิดขึ้นเป็นระยะเวลาสั้นๆ คือ 3 วัน โดยในช่วงที่หยุดโจมตี อิสราเอลจะอนุญาตให้มีการส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์เข้าฉนวนกาซาได้ แลกกับการที่กลุ่มฮามาสปล่อยตัวประกัน
ล่าสุดเมื่อคืนที่ผ่านมา ชีค ทามิม บิน ฮาหมัด อัล-ธานี เจ้าผู้ครองนครรัฐกาตาร์ ได้เข้าพบกับ ชีค โมฮัมเหม็ด บิน ซายิด อัล-นาห์ยาน ประธานาธิบดีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในกรุงอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ประเด็นในการหารือของสองผู้นำยังคงอยู่ที่วิกฤตมนุษยธรรมในฉนวนกาซา หลังจากพบกัน ประธานาธิบดีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้โพสต์ข้อความลงในบัญชี X เรียกร้องให้หยุดยิงทันที ยกเลิกข้อจำกัดการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และปกป้องชีวิตพลเรือน
ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ส การพบกันระหว่างสองผู้นำของกาตาร์และยูเออีครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐฯ หรือ CIA และหัวหน้าหน่วยข่าวกรองอิสราเอล หรือมอสซาด เข้าพบกับนายกรัฐมนตรีกาตาร์ในกรุงโดฮา ประเทศกาตาร์เมื่อวานนี้ โดยการหารือของทั้งสามคนเน้นไปที่หลักเกณฑ์และข้อตกลงต่างๆ ในการปล่อยตัวประกัน รวมถึงการหยุดโจมตีชั่วคราวระหว่างกลุ่มฮามาสและอิสราเอล ข้อตกลงที่กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาถือเป็นความหวังสำหรับทุกฝ่าย เพราะถ้าบรรลุข้อตกลงได้ ข้อตกลงที่ออกมาอาจกลายเป็นรูปแบบหรือสูตรในการช่วยเหลือตัวประกันที่เหลือในครั้งต่อไป
หนึ่งในฝ่ายที่คาดหวังให้ข้อตกลงเกิดขึ้นได้โดยเร็วคือ สหรัฐฯ ซึ่งสังเกตได้จากการให้สัมภาษณ์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน
ประธานาธิบดีไบเดนได้ตอบคำถามนักข่าวที่มารอสัมภาษณ์ขณะที่กำลังเดินทางไปขึ้นเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วัน เพื่อปฏิบัติภารกิจสิ่งที่นักข่าวถามคือ จะมีการหยุดยิงหรือไม่ ผู้นำสหรัฐฯ ตอบว่า ยังไม่มีทางที่อิสราเอลจะทำข้อตกลงหยุดยิงในตอนนี้
แต่สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นคือ การหยุดโจมตีประมาณ 3 วัน และสหรัฐฯ กำลังพยายามผลักดันให้มีการหยุดโจมตีนานกว่านั้น ทั้งนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ระบุอย่างตรงไปตรงมาว่า การเจรจาและโน้มน้าวนายกฯ เนทันยาฮูของอิสราเอลไม่ใช่เรื่องง่ายและใช้เวลานานกว่าที่ประเมินไว้
การหยุดโจมตีเพื่อมนุษยธรรม หรือ Humanitarian pause ที่สหรัฐฯ เรียกร้องคืออะไร และแตกต่างอย่างไรจากข้อตกลงหยุดยิง
ตามคำจำกัดความโดยสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ OCHA ระบุว่า “การหยุดโจมตีเพื่อมนุษยธรรม” หมายถึงการหยุดความเป็นปรปักษ์ชั่วคราวเพื่อจุดประสงค์ด้านมนุษยธรรม
การหยุดโจมตีต้องมีการเห็นชอบร่วมกันของฝ่ายที่เกี่ยวข้องในความขัดแย้ง และมักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาและพื้นที่ที่กำหนด เพื่อให้ดำเนินกิจกรรมด้านมนุษยธรรมในพื้นที่ดังกล่าวได้
โดยมีความแตกต่างจาก “การหยุดยิง” ที่หมายถึงการระงับการสู้รบโดยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางการเมืองเพื่อ “เป้าหมายระยะยาว” ที่จะเปิดทางให้มีการเจรจาระหว่างฝ่ายที่เกี่ยวข้องในความขัดแย้ง
ซึ่งรวมถึงการเจรจาเพื่อหาทางบรรลุข้อตกลงทางการเมืองถาวรเพื่อจัดการความขัดแย้งด้วย จะเห็นได้ว่า “การหยุดโจมตีเพื่อมนุษยธรรม” ที่สหรัฐฯ เรียกร้องน่าจะมีเป้าหมายเพียงแค่การหยุดการโจมตีเพียงระยะสั้น เพื่อส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปในกาซา
ที่ผ่านมาสหรัฐฯ รวมถึงชาติตะวันตกอื่นๆ เช่น สหราชอาณาจักร แคนาดา และสหภาพยุโรป เลือกที่จะใช้การเรียกร้องให้ “หยุดโจมตีเพื่อมนุษยธรรม” แทนที่จะเป็น “การหยุดยิง”คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
โดยให้เหตุผลว่า การเรียกร้องหยุดยิงนั้นจะเป็นประโยชน์แก่กลุ่มฮามาส ที่ถูกสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศตะวันตกขึ้นบัญชีว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย
การให้สัมภาษณ์ของผู้นำสหรัฐฯ ว่าสามารถโน้มน้าวให้อิสราเอลสามารถหยุดการโจมตีเป็นเวลา 3 วัน แต่ใช้เวลาโน้มน้าวนานกว่าที่คิดไว้ อาจหมายความว่า อิสราเอลไม่เต็มใจในการหยุดโจมตีจนถึงขณะนี้อิสราเอลยังไม่ยืนยันหรือพูดถึงการหยุดโจมตี 3 วันตามที่สหรัฐฯ ต้องการ มีเพียงสัญญาณล่าสุดจากอิสราเอลว่า การหยุดโจมตี 3 วันอาจเป็นไปได้ในอนาคต หลังอิสราเอลประกาศกรอบการหยุดโจมตีเป็นระยะเวลาสั้นๆ
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า อิสราเอลเห็นพ้องที่จะหยุดโจมตีกลุ่มฮามาสทางตอนเหนือของฉนวนกาซาเป็นเวลา 4 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้ชาวกาซาสามารถอพยพลงไปทางตอนใต้ได้
เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากจอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว และวีดานต์ พาเทล รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกมาอธิบายรายละเอียดว่า ระเบียงมนุษยธรรมที่กองกำลัง IDF ของอิสราเอลจะเปิดให้ชาวกาซาเหนืออพยพ มี 2 เส้นทาง
และ IDF จะประกาศช่วงเวลาการอพยพแบบวันต่อวัน โดยจะประกาศแจ้งชาวกาซาล่วงหน้าอย่างน้อย 3 ชั่วโมง ก่อนที่เวลาระเบียงมนุษยธรรมจะเปิด
ล่าสุดเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ( 10 พ.ย.) ฝ่ายประสานงานกิจกรรมรัฐบาลในดินแดนอิสราเอล หรือ COGAT ได้ประกาศผ่านแอปพลิเคชั่น X ว่า ระเบียงมนุษยธรรมได้เปิดแล้ว โดยจะเปิดตั้งแต่เวลา 9.00 – 16.00 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น หรือประมาณ 7 ชั่วโมง
นอกจากนี้ COGAT ยังระบุด้วยว่า ชาวกาซากว่าหมื่นคนได้อพยพลงใต้เพื่อความปลอดภัย โดยนี่เป็นวันที่ 6 แล้วที่กองกำลัง IDF เปิดโอกาสให้ประชาชนลี้ภัยไปยังฉนวนกาซาใต้ สองเส้นทางที่คาดว่าอิสราเอลจะเปิดระเบียงมนุษยธรรม ประกอบด้วย
เส้นทางแรก ถนนซาลาห์ อัล-ดีน ซึ่งเป็นถนนสายหลักที่เชื่อมทั้งฉนวนกาซาเข้าด้วยกัน โดยตอนนี้ IDF สามารถยึดถนนเส้นนี้บริเวณที่อยู่เหนือธารน้ำฮาเบซอร์ ซึ่งแบ่งฉนวนกาซาเหนือกับใต้ได้สำเร็จ
เส้นทางที่สอง ซึ่งจะเป็นเส้นทางที่เปิดใหม่ คือ ถนนอัล-ราชีด ถนนที่ทอดยาวบริเวณชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนด้านตะวันตกของฉนวนกาซา โดยตอนนี้ อิสราเอลสามารถยึดถนนสายนี้ทางตอนเหนือสุดของฉนวนกาซา และบริเวณเหนือธารน้ำฮาเบซอร์ได้แล้ว
ขณะเดียวกัน สเตฟาน ดูจาร์ริก โฆษกองค์การสหประชาชาติ ได้ออกมาแถลงว่า การจะหยุดการโจมตีชั่วคราวเพื่อมนุษยธรรมควรต้องเกิดขึ้นและประสานงานร่วมกับสหประชาชาติ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องเวลาและสถานที่ เพื่อให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเป็นไปได้อย่างราบรื่น
นอกจากการเปิดระเบียงมนุษยธรรมแล้ว หลายฝ่ายประเมินว่า อิสราเอลอาจรับฟังสหรัฐฯ มากขึ้น สังเกตได้จากการเริ่มเปิดให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปยังฉนวนกาซาได้
สภาเสี้ยววงเดือนแดงได้กลับมารับ-ส่งผู้ป่วยบริเวณชายแดนฉนวนกาซาอีกครั้ง หลังจากต้องหยุดภารกิจไปชั่วคราว เพราะขบวนรถฉุกเฉินถูกโจมตีโดยกองทัพอิสราเอลเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน
ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีไบเดน ก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านบัญชีแอปพลิเคชัน X โดยระบุว่า สหรัฐฯ ต้องการให้มีรถบรรทุกความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปในฉนวนกาซาอย่างน้อย 150 คันต่อวัน เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนทั้งในพื้นที่และที่อพยพลงมาจากทางตอนเหนือ ด้านอิสราเอลก็ได้ออกมาพูดถึงประเด็นการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเช่นกัน
เมื่อวานนี้ พันเอกโมชี เตโตร หัวหน้าฝ่ายประสานงานกิจกรรมรัฐบาลในดินแดนอิสราเอล ได้ออกมาแถลงว่า อิสราเอลกำลังอนุญาตให้ความช่วยเหลือต่างๆ เข้าไปยังฉนวนกาซาได้ หลังจากสหรัฐฯ อียิปต์ และฝ่ายต่างๆ ร้องขอมา
ผู้แทนอิสราเอลระบุว่า ตอนนี้มีรถบรรทุกมากกว่า 700 คันรอขนส่งความช่วยเหลือเข้าไปในฉนวนกาซา แต่ความช่วยเหลือที่จะถูกส่งเข้าไป มีเพียงอาหาร ยา น้ำ และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสำหรับที่พักพิงเท่านั้น จะไม่มีน้ำมันหรือเชื้อเพลิง
ก่อนจะย้ำปิดท้ายว่า ถ้าอิสราเอลพบว่ากลุ่มฮามาสลักลอบนำความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปใช้เอง การขนส่งความช่วยเหลือทั้งหมดจะถูกระงับทันที
แม้จะมีการประกาศเปิดระเบียงมนุษยธรรมและส่งสัญญาณให้ความช่วยเหลือเข้าไปได้มากขึ้น แต่สถานการณ์การสู้รบรอบๆ เมืองกาซา ซิตี้ยังเป็นไปอย่างดุเดือด เนื่องจากที่นี่เป็นเป้าหมายหลักของกองกำลังอิสราเอลต้องการยึดให้ได้ เพื่อปราบปรามและกำจัดฐานที่มั่นหลักของกลุ่มฮามาส
หนึ่งในเป้าหมายที่ถูกโจมตีอย่างหนักคือ บรรดาโรงพยาบาลในเมือง เพราะ IDF เคยระบุว่า โรงพยาบาลหลายแห่งเป็นฐานบัญชาการหลักของกลุ่มฮามาส โดยเฉพาะโรงพยาบาลอัล-ชิฟา โรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในฉนวนกาซา
เมื่อคืนที่ผ่านมา เป็นอีกคืนที่พื้นที่บริเวณโรงพยาบาลอัล-ชิฟาแห่งนี้ถูกกระหน่ำโจมตี โดยมีเสียงปืนดังใกล้ๆ พื้นที่โรงพยาบาล ทำให้ประชาชนต้องวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอดในยามค่ำคืน
ขณะเดียวกัน กระทรวงกลาโหมอิสราเอล ก็ได้เปิดเผยภาพหัวหน้าหน่วยข่าวกรองและเสนาธิการใหญ่กองทัพอิสราเอล ที่เดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจ กำลังพลถึงในฉนวนกาซา ท่ามกลางการสู้รบที่ดำเนินไปอย่างดุเดือด